วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กรอบ

     " การเรียนการตลาดนอกตำรา ...ที่เรียนเล่มเดียวกันทั้งโลก(ของ David Ricardo) ทำก็ทำเหมือนกันทั้งโลก เจ๊งก็เจ๊งเหมือนกันทั้งโลก เพราะฉะนั้นการตลาดที่ประสบความสำเร็จ คือ การตลาดที่อยู่นอกตำรา เป็นการตลาดนอกกกรอบ"
     นี่เป็นคำพูดของผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด อ.ธันยวัชญ์ ไชยตระกูลชัย
     ตอนที่ผมฟังครั้งแรกถึงกับอุทานขึ้นมาว่า "แม่ง! โคตรเจ๋งเลยวะ!"
     หลังจากที่ผมนำคำพูดนี้มาคิดดูสักพักนึง "อื้ม... ก็ใช่นะ แต่ไม่ทั้งหมด"

      ผมเชื่่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว (โดยเฉพาะ "วัยรุ่น") ที่เบื่อกับการอยู่ในกรอบเดิมๆ ต้องการหลุดจากกรอบที่ผู้อื้น (โดยเฉพาะ "พ่อแม่") กำหนดไว้
      ...หลายคนไม่สนใจการเรียนของตนเองเพราะไม่ศรัทธาในระบบการศึกษา
      ...หลายคนเลือกเรียนคณะ โดยที่ไม่ได้สนใจคำแนะนำของพ่อแม่
      ...หลายคนไม่อ่านตำราของโรงเรียน เพราะเชื่อว่าการเรียนรู้นอกตำราและเลือกเรียนรู้แต่สิ่งที่ตนรัก จะทำให้ประสบความสำเร็จได้
      ...หลายคนบอกว่าตนนั้นเป็นคน"นอกกรอบ" พร้อมทั้งเหตุผลว่า คนที่ประสบความสำเร็จอย่าง"ยิ่งใหญ่" ล้วนเป็นคนนอกกรอบทั้งสิ้น
      ...หลายคนลืมความหมายที่แท้จริงของคำว่า"กรอบ"ไป

      "กรอบ"คือสิ่งที่สังคม"กำหนด"ว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการ"เลือก"และทำให้สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อย
      ยกตัวอย่างเช่น"ระบอบทุนนิยม"ที่สังคมเชื่อว่ามันเป็นระบอบเศรษฐกิจที่"ดี ที่สุด"ในการจัดสรร"ทรัพยากร"นับตั้งแต่มนุษย์รู้จักกับการ"ค้าขาย" แม้มันจะมีข้อเสียมากมาย โดยเฉพาะในเรื่อง"ความเหลื่อมล้ำ" ซึ่งอาจเป็นสาเหตุอันดับต้นๆที่ทำให้โลกยังคง"วุ่นวาย"อยู่ แต่ทำไมเรายังใช้มัน?
      เพราะสังคมไม่ได้บอกว่ามัน"ถูก"ที่สุด แต่บอกว่ามัน"ดี"ที่สุด

      "กรอบ"อาจจะ"ไม่ถูกที่สุด" แต่"ดีที่สุด"
      ดังนั้น เราอย่าอยู่แต่เพียงใน"กรอบ"หรือ"นอกกรอบ"แต่เพียงที่เดียว
     เพราะว่า"กรอบ"ก็คือ"กรอบ"อย่างหนึง
     "นอกกรอบ"ก็คือ"กรอบ"อย่างหนึ่ง
     เหมือนกัน

PS : ผมจึงคิดว่า"ข้อสอบ"น่าจะเปลี่ยนคำสั่งจาก "จงเลือกคำตอบที่ถูกที่สุด" เป็น "จงเลือกคำตอบที่ดีที่สุด" นะครับ Cool

Credit : ปะป๊า

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

อุทิศแด่ ... คุณยาย

     บทความนี้เป็น"คำไว้อาลัย"แด่คุณยายของผมที่ท่านได้จากโลกนี้ไป
     หวังว่บทความนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจให้ใครหลายคน ได้ลุกขึ้นมา"ดูแล"และ"ใส่ใจ"คนรอบข้างมากขึ้น...
      ก่อนที่เราจะเสียใครคนนั้นไป


ไว้อาลัย วันที่ยายเสีย วันที่เสียยาย
     ผมเป็นหลานคนหนึ่งของคุณยายครับ ในสายตาของหลานคนนี้เห็นว่า คุณยายเป็นคนที่ชอบเล่าประสบการณ์ให้ผมฟังและสอนอะไรหลายๆอย่างแก่ผมอยู่เสมอ
     คุณยายชอบเล่าเรื่องที่คุณยายไปร้องเพลงและได้รางวัลมา จากนั้นคุณยายก็ร้องเพลงนั้นให้ผมฟัง เป็นเพลงสำเนียงอีสาน ผมไม่ทราบว่าเพลงนั้นคือเพลงอะไร แต่ผมทราบว่าคุณยายเป็นคนที่ร้องเพลงไพเราะมากเลยทีเดียว และการร้องเพลงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณยายมีความสุข
      คุณยายเป็นคนที่ทำให้ผมรู้จัก “หมาก” และ “ผ้าถุง” เพราะคุณยายเป็นคนเดียวที่ผมรู้จักที่ยังคง “นุ่งผ้าถุง” และ “เคี้ยวหมาก” อยู่
     เมื่อผมได้มีโอกาสมาเยี่ยมคุณยายที่บ้านของน้า  คุณยายยังสอนให้ผมเป็นคนรักสะอาด คุณยายมักจะกวาดบ้าน ถูบ้าน และตัดหญ้าหน้าบ้านน้า เมื่อพวกเราไปห้าม คุณยายก็มักจะพูดว่า “อยู่บ้านเค้า เราจะไม่ทำตัวเป็นประโยชน์ได้อย่างไร” จากคำพูดนี้ยังสอนให้เห็นถึงการเป็นคนที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและยังบำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวมของคุณยายได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว
     แม่พูดกับผมเสมอว่า “อยากมีบ้านในกรุงเทพฯสักหลัง เพื่อมาดูแลยาย” “ถ้าเรามีบ้าน อย่าพึ่งไปบอกใครนะ แม่อยากจะเซอร์ไพรส์ยาย” เรียกได้ว่า “บ้านที่มียาย” เป็นความฝันของแม่เลยทีเดียว เพราะแม่ใช้เวลาหาบ้านในกรุงเทพฯถึง 6 ปี เป็นเวลา 6 ปีที่แม่ฝันมาตลอด เป็นเวลา 6 ปีที่แม่ใช้ความอดทน ความพยายาม และความมุ่งมั่นเพื่อให้สิ่งที่แม่ฝันเป็นความจริง
     วันที่แม่ซื้อบ้าน เป็นวันที่คุณยายล้มป่วย
     วันที่แม่ตกแต่งบ้านเสร็จ เป็นวันที่คุณยายสิ้นใจลง
     วันที่ “ครอบครัวของเรา” มีบ้าน เป็นวันที่ครอบครัวของเรา...
     “ ไม่มียาย ”
     แม่ฝันสลาย
     กับ “ความฝัน” ที่ไม่มีวันเป็นจริงอีกแล้ว
ด้วยความรักและอาลัยยิ่ง
หลานเพิ่ม
 10 / 10 / 2554
      
     ...
     คนบางคนจากเราไปเพื่อไปอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน
     แต่ความทรงจำเหล่านั้นจะ "ดี" หรือ "ร้าย"
     "เรา"เท่านั้นที่จะได้เป็นผู้กำหนดครับ

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สีเทา

     เมื่อเรายังเล็ก
     เรามักถูกพ่อแม่สอนว่า " อย่าทำอย่างนี้นะ ! " , " ทำอย่างนี้มันไม่ดีรู้มั้ย ? "
     หรือ "ดีมากลูก...ที่ทำได้แบบนี้"
     เราเป็นฝ่ายให้"พ่อ" กับ"แม่"เป็นผู้ตัดสินว่าอะไร"ดี"และอะไร"ไม่ดี"
     แต่เมื่อเราเติบโตขึ้นมา เราจะสามารถ"แยกแยะ"ได้ ผ่าน"ประสบการณ์"ของแต่บุคคล
     แต่ในโลกนี้ มันก็มีบางสิ่งที่เราไม่สามารถแยกแยะได้เลย
     ว่า"ดี"หรือ"ไม่ดี"
     มันเป็นเพียง"สีเทา"

     รู้จัก"จอร์จ โซรอส"มั้ยครับ?
     คนที่รู้จักเขาบอกได้เลยว่า น่าจะ"อาวุโส"  พอสมควร
     ...เขาผู้นี้คือ"นักลงทุน"ที่ร่ำรวยเป็นอันดับที่ 35 ตามการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes
     เป็นคนที่โจมตีค่าเงิน"ปอนด์"ของอังกฤษ รวมทั้งค่าเงิน"บาท"ของไทยด้วย
     ได้รับสมญานามว่า"พ่อมดทางการเงิน" เพราะเป็นคนที่สามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลจากตลาดหุ้นทั่วโลก
     พอจะจำกันได้แล้วนะครับ
     หลายคนบอกว่า เขาผู้นี้แหละที่เป็นคนที่ทำให้ไทยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 หรือที่เราเรียกกันว่า "วิกฤติต้มยำกุ้ง"
      คนไทยทั้งประเทศ(ในตอนนั้น)พร้อมใจกัน"เกลียด"เขา
      บ้างก็บอก"เลว"บ้าง
      บ้างก็บอกว่า"มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น"
      "หน้าเลือด"
      "เลวทราม!!!"
      บ้างคนกล่าวหาไปถึง"ระบบทุนนิยม"ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดคนประเภทนี้อย่างเลยเถิด

      แต่"นักลงทุน"ทั่วโลกกลับยกย่องบุคคลผู้นี้ว่าเป็น"อัจฉริยะ"ทางด้านการลงทุนอย่างแท้จริง
      อีกทั้งยังยกย่องใน"ความดี"ของเขาด้วย เพราะปัจจุบันเขานำเงินที่หามาได้"บริจาค"ให้แก่ประเทศที่ด้อยพัฒนา รวมทั้ง"ฮังการี"บ้านเกิดของเขาด้วย
      ดังนั้น คนในหลายๆประเทศจึง"เทิดทูน"เขา
      สรุปแล้วคุณคิดว่าบุคคลนี้เป็นคน"ดี"หรือ"ไม่ดี"กันแน่ ?

      มาดูประวัติของชายผู้นี้กัน
      จอร์จ โซรอส(George Soros)* ชื่อเดิม จอร์จี้ ชวาซ์ (György Schwartz) เกิดในปีค.ศ. 1930 ที่เมืองปูดาเปสต์ ประเทศฮังการี
      จากนั้น 14 ปีต่อมา พวกนาซีบุกยึดฮังการี และสำหรับพวก"ยิว"ในฮังการีแบบจอร์จ โซรอส หากถูกพวกนาซีหาตัวพบมีโทษสถานเดียว
      คือ "ตาย" !
      โซรอสจึงมีเพียงเป้าหมายเดียวคือการ"เอาชีวิตให้รอด" ซึ่งส่งผลมายังปัจจุบันที่ทำให้โซรอสยังมีอาการหวาดกลัว(Phobia)ฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจอยู่เสมอ
      นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่เป็น"แรงผลักดัน"เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งของโลก
      เพราะในหัวเค้ามีคำพูดหนึ่งที่คอยเตือนใจอยู่เสมอ
      "เอาชีวิตให้รอด"
  
      คนเราจะประสบความสำเร็จได้ เมื่อได้ประสบกับเหตุการณ์"ร้ายๆ"ก่อนเสมอ

      คุณบอกได้หรือยังครับว่าบุคคลผู้นี้
      "ดี" หรือ "ไม่ดี"
     หรือมันมีเพียงแค่...
     "สีเทา"
     



* อ่านชีวประวัติฉบับเต็มของ George Soros และ Warren Buffet ได้ที่ หนังสือ The Winning Investment Habits of Warren Buffet & George Soros


  

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

หมอนข้าง

      "หมอนข้าง"
      อุปกรณ์"คู่นอน"ที่มีกันแทบทุกบ้าน
      เคยสงสัยกันบ้างมั้ยครับว่ามันมีไว้เพื่ออะไร?
      ผมลองเข้าไป Search ถามใน"ลุงกรู"(Google) ได้รับคำตอบมากมาย
      บ้างก็บอกว่ามีไว้เพื่อแก้อาการ"ปวดหลัง"
      บ้างก็บอกว่าสามารถแก้"โรคหวัด"ใน"เด็ก"ให้หายได้!

      ไม่น่าเชื่อ
      บางสิ่งที่ดู"ธรรมดา"ก็อาจมี"ค่า"มากกว่าที่เห็นก็ได้
      แล้วสำหรับคนที่ยังนำมันมา"ซุกไซ้"ทั้งที่ไม่ได้"ปวดหลัง"หรือเป็น"เด็ก"ที่เป็น"หวัด"ล่ะ?

      "หมอนข้าง"ทำให้ผมนึกถึงเพลงๆนึงของหนูนา หนึ่งธิดา
      "อยากมีใครสักคนให้กอด"
      นี่คงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้วล่ะครับ

      เรามี"หมอนข้าง" เพื่ออยากให้ใครสักคนมานอน"ข้างหมอน"
      จริงมั้ยครับ?