วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความจำ

     ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบวิชา"ท่องจำ"เท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกับวิชา"ชีวะ"
     ยิ่งช่วงใกล้สอบวิชานี้ทีไร ผมก็อยากให้ตัวเองมีความสามรถในการจำทุกสิ่งทุกอย่างในหนังสือเล่มที่ใช้สอบได้ทุกครั้งไป
   
      แต่หลังจากได้อ่านหนังสือ "If you care enough" ของวิไลรัตน์ เอมเอี่ยม จึงทำให้ผมรู้ว่าคนที่มีความทรงจำ"ล้นเกิน"นั้น
      มีอยู่จริง
     
      อาการของคนที่เป็นโรคที่มีความทรงจำสูงเกินปกตินี้เรียกว่า Hyperthymestia ซึ่งอาการจะตรงข้ามกับโรค Alzheimer ทุกประการ
      และคนที่เป็นโรคนี้มีเพียง 4 คนในโลกเท่านั้น
     
      แวบแรกที่ผมได้รู้จะกกับโรคนี้ ผมถึงกับอุทานมาว่า
      "อ่า... นี่มันคน"โชคดี"ทั้ง 4 นี่"
      แต่เปล่าเลย
      พวกเขากำลัง"ทรมาน"กับโรคนี้อยู่
     
      จิล ไพรซ์ หญิงสาววัย 43 ปี เจ้าของหนังสือ The Women Who Can't Forget กล่าวว่า นอกจากเธอจะเป็น 1 ใน 4 ของคนที่เป็นโรคนี้แล้ว เธอยังมีอาการของคนที่เป็นโรคซึมเศร้าด้วยเช่นกัน เพราะเหตุการณ์ที่สามีเสียชีวิตและเหตุการณ์ที่เธอแท้งลูก มันยังคงตามมาหลอกหลอนเธอได้ทุกขณะ เพราะเธอยังจำความเจ็บปวดและรายละเอียดต่างๆได้ราวกับเหตุการณ์เพิ่งเกิด ขึ้นเมื่อวานนี้

      เธอเรียกความทรงจำที่ล้นเกินของเธอว่า"คำสาป" ขณะที่คนอื่นๆเรียกว่า"ความสามารถพิเศษ"
     
      หลังจากที่ผมได้รับรู้ถึง Case Study นี้แล้ว ทำให้ผมเริ่มมองเห็นคุณค่าของการเป็นคนธรรมดาที่มีความทรงจำ"ขาดๆเกินๆ"แบบ นี้ยิ่งนัก
      คนธรรมดาที่อาจจะมีความ"จำได้"บ้าง ความ"จำไม่ได้"บ้าง
      แต่คนธรรมดาเหล่านี้ก็ยังมี"อิสระ"ในการเลือกจำทั้ง"ความสุข"และ"ความทุกข์"
      "ความทรงจำ"เหล่านี้มีค่าแค่ไหน
      เพียงแค่เลือกใส่ในกล่องความทรงจำ

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มาเหงากัน

      เคย "เหงา" มั้ยครับ ?
      "ความเหงา" มักจะมาพร้อมกับ "ความทุกข์" โดยเฉพาะตอนเราอยู่คนเดียวหรือตอนเคยกันอยู่สองคน
      เคยถามตัวเองมั้ยครับว่าความเหงามีไว้เพื่ออะไร ?
      สำหรับผมความเหงามีไว้เพื่อ"ความสร้างสรรค์"ครับ
      ความเหงาสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆมากมายผ่านการประพันธ์เป็นบทเพลง บทกวี และบทความที่สื่่อถึงอารมณ์ในขณะนั้น

      "โหน่ง วงศ์ทนง" ผู้ก่อตั้งนิตยสารวัยรุ่นชื่่อดัง A Day
      ผู้เป็น IDOL ของใครหลายคน
      เขาบอกไว้ว่าจุดเริ่มต้นของการค้นหาสิ่งที่ตนรัก เกิดขึ้นในขณะที่เข้าอยู่ในห้อง 10 นาที
      "10 นาที" ที่เขาได้ถามตนเองว่า "มีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร?"
      "10 นาที" ที่เขาบอกว่ามีค่ามากที่สุดในชีวิตเขา
      และคำตอบของเขาก็คือการ"เขียน"หนังสือ 
      แล้ว A Day ก็คือผลผลิตผลอยได้จากความรักในการเขียนหนังสือ ที่ใช้เวลาถามตนเองเพียง 10 นาที 

      จะมีกี่ความรู้สึกแบบไหนครับ ที่จะทำให้เราถามกับตัวเองว่า "มีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร?"
      และ "ความเหงา" ก็คือหนึ่งในความเหงานั้น
      เพราะ "เหงา" ... "เรา" จึงบังเกิด
     
      มาเหงากันนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

นุนนุน*

      เศรษฐศาสตร์
      ตั้งสมมติฐานไว้
      การตัดสินใจของคนมีเหตุผล
      แต่ฉันค้นไม่เจอใน"ความรัก"
      เธอเหมือนหนังสือ
      ที่ฉันไม่อยากอ่านให้จบ
      แต่มันก็สิ้นสุดลง

      เธอบอกเหตุผลกับฉัน
      แต่จริงๆมันไม่มีหรอก
  
      ดอกไม้ผลิบาน
      ฉันยื่นให้เธอ-ไม่มีเหตุผล
      ดอกไม้ร่วงหล่น
      เธอยื่นให้ฉัน
      จะหาเหตุผลของมันทำไม

      "เซ็น"ว่าไว้
      ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
      ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน
      แต่สำหรับฉัน
      ตัวเธอนั้น"น่ารัก"
      แน่นอน
  
      ผูกพัน
      กับพันผูก
      ไม่เหมือนกัน
      แต่มันคือ"ความสัมพันธ์"

      พันผูกเป็นเรื่องบังเอิญ
      ผูกพันเป็นเรื่องตั้งใจ

      พันผูกสามารถเป็นความผูกพันได้
      หากมีความตั้งใจ

      ไอน์สไตน์กล่าวไว้
      หนึ่งนาทีที่มืออยูบนเตาร้อน
      เหมือนหนึ่งชั่วโมง
      หนึ่งชั่วโมงที่อยู่กับหญิงสาว
      เหมือนหนึ่งนาที
   
      ความสัมพัทธ์ของเวลา
      เร็วขึ้นได้ เพราะ ความสัมพันธ์

      ความสำเร็จเป็นสิ่งสัมพัทธ์
      แต่ความสุขเป็นสิ่งสัมบูรณ์

      หากเวลาของหมา
      ยังไม่เท่ากับเวลาของคน
      เวลาของแต่ละคน
      ก็ไม่เท่ากัน



* "นุนนุน" ได้รับแรงบันดาลใจจาก "อุนนุน" ของพี่เอ๋ นิ้วกลมครับ

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กรอบ

     " การเรียนการตลาดนอกตำรา ...ที่เรียนเล่มเดียวกันทั้งโลก(ของ David Ricardo) ทำก็ทำเหมือนกันทั้งโลก เจ๊งก็เจ๊งเหมือนกันทั้งโลก เพราะฉะนั้นการตลาดที่ประสบความสำเร็จ คือ การตลาดที่อยู่นอกตำรา เป็นการตลาดนอกกกรอบ"
     นี่เป็นคำพูดของผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด อ.ธันยวัชญ์ ไชยตระกูลชัย
     ตอนที่ผมฟังครั้งแรกถึงกับอุทานขึ้นมาว่า "แม่ง! โคตรเจ๋งเลยวะ!"
     หลังจากที่ผมนำคำพูดนี้มาคิดดูสักพักนึง "อื้ม... ก็ใช่นะ แต่ไม่ทั้งหมด"

      ผมเชื่่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว (โดยเฉพาะ "วัยรุ่น") ที่เบื่อกับการอยู่ในกรอบเดิมๆ ต้องการหลุดจากกรอบที่ผู้อื้น (โดยเฉพาะ "พ่อแม่") กำหนดไว้
      ...หลายคนไม่สนใจการเรียนของตนเองเพราะไม่ศรัทธาในระบบการศึกษา
      ...หลายคนเลือกเรียนคณะ โดยที่ไม่ได้สนใจคำแนะนำของพ่อแม่
      ...หลายคนไม่อ่านตำราของโรงเรียน เพราะเชื่อว่าการเรียนรู้นอกตำราและเลือกเรียนรู้แต่สิ่งที่ตนรัก จะทำให้ประสบความสำเร็จได้
      ...หลายคนบอกว่าตนนั้นเป็นคน"นอกกรอบ" พร้อมทั้งเหตุผลว่า คนที่ประสบความสำเร็จอย่าง"ยิ่งใหญ่" ล้วนเป็นคนนอกกรอบทั้งสิ้น
      ...หลายคนลืมความหมายที่แท้จริงของคำว่า"กรอบ"ไป

      "กรอบ"คือสิ่งที่สังคม"กำหนด"ว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการ"เลือก"และทำให้สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อย
      ยกตัวอย่างเช่น"ระบอบทุนนิยม"ที่สังคมเชื่อว่ามันเป็นระบอบเศรษฐกิจที่"ดี ที่สุด"ในการจัดสรร"ทรัพยากร"นับตั้งแต่มนุษย์รู้จักกับการ"ค้าขาย" แม้มันจะมีข้อเสียมากมาย โดยเฉพาะในเรื่อง"ความเหลื่อมล้ำ" ซึ่งอาจเป็นสาเหตุอันดับต้นๆที่ทำให้โลกยังคง"วุ่นวาย"อยู่ แต่ทำไมเรายังใช้มัน?
      เพราะสังคมไม่ได้บอกว่ามัน"ถูก"ที่สุด แต่บอกว่ามัน"ดี"ที่สุด

      "กรอบ"อาจจะ"ไม่ถูกที่สุด" แต่"ดีที่สุด"
      ดังนั้น เราอย่าอยู่แต่เพียงใน"กรอบ"หรือ"นอกกรอบ"แต่เพียงที่เดียว
     เพราะว่า"กรอบ"ก็คือ"กรอบ"อย่างหนึง
     "นอกกรอบ"ก็คือ"กรอบ"อย่างหนึ่ง
     เหมือนกัน

PS : ผมจึงคิดว่า"ข้อสอบ"น่าจะเปลี่ยนคำสั่งจาก "จงเลือกคำตอบที่ถูกที่สุด" เป็น "จงเลือกคำตอบที่ดีที่สุด" นะครับ Cool

Credit : ปะป๊า

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

อุทิศแด่ ... คุณยาย

     บทความนี้เป็น"คำไว้อาลัย"แด่คุณยายของผมที่ท่านได้จากโลกนี้ไป
     หวังว่บทความนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจให้ใครหลายคน ได้ลุกขึ้นมา"ดูแล"และ"ใส่ใจ"คนรอบข้างมากขึ้น...
      ก่อนที่เราจะเสียใครคนนั้นไป


ไว้อาลัย วันที่ยายเสีย วันที่เสียยาย
     ผมเป็นหลานคนหนึ่งของคุณยายครับ ในสายตาของหลานคนนี้เห็นว่า คุณยายเป็นคนที่ชอบเล่าประสบการณ์ให้ผมฟังและสอนอะไรหลายๆอย่างแก่ผมอยู่เสมอ
     คุณยายชอบเล่าเรื่องที่คุณยายไปร้องเพลงและได้รางวัลมา จากนั้นคุณยายก็ร้องเพลงนั้นให้ผมฟัง เป็นเพลงสำเนียงอีสาน ผมไม่ทราบว่าเพลงนั้นคือเพลงอะไร แต่ผมทราบว่าคุณยายเป็นคนที่ร้องเพลงไพเราะมากเลยทีเดียว และการร้องเพลงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณยายมีความสุข
      คุณยายเป็นคนที่ทำให้ผมรู้จัก “หมาก” และ “ผ้าถุง” เพราะคุณยายเป็นคนเดียวที่ผมรู้จักที่ยังคง “นุ่งผ้าถุง” และ “เคี้ยวหมาก” อยู่
     เมื่อผมได้มีโอกาสมาเยี่ยมคุณยายที่บ้านของน้า  คุณยายยังสอนให้ผมเป็นคนรักสะอาด คุณยายมักจะกวาดบ้าน ถูบ้าน และตัดหญ้าหน้าบ้านน้า เมื่อพวกเราไปห้าม คุณยายก็มักจะพูดว่า “อยู่บ้านเค้า เราจะไม่ทำตัวเป็นประโยชน์ได้อย่างไร” จากคำพูดนี้ยังสอนให้เห็นถึงการเป็นคนที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและยังบำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวมของคุณยายได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว
     แม่พูดกับผมเสมอว่า “อยากมีบ้านในกรุงเทพฯสักหลัง เพื่อมาดูแลยาย” “ถ้าเรามีบ้าน อย่าพึ่งไปบอกใครนะ แม่อยากจะเซอร์ไพรส์ยาย” เรียกได้ว่า “บ้านที่มียาย” เป็นความฝันของแม่เลยทีเดียว เพราะแม่ใช้เวลาหาบ้านในกรุงเทพฯถึง 6 ปี เป็นเวลา 6 ปีที่แม่ฝันมาตลอด เป็นเวลา 6 ปีที่แม่ใช้ความอดทน ความพยายาม และความมุ่งมั่นเพื่อให้สิ่งที่แม่ฝันเป็นความจริง
     วันที่แม่ซื้อบ้าน เป็นวันที่คุณยายล้มป่วย
     วันที่แม่ตกแต่งบ้านเสร็จ เป็นวันที่คุณยายสิ้นใจลง
     วันที่ “ครอบครัวของเรา” มีบ้าน เป็นวันที่ครอบครัวของเรา...
     “ ไม่มียาย ”
     แม่ฝันสลาย
     กับ “ความฝัน” ที่ไม่มีวันเป็นจริงอีกแล้ว
ด้วยความรักและอาลัยยิ่ง
หลานเพิ่ม
 10 / 10 / 2554
      
     ...
     คนบางคนจากเราไปเพื่อไปอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน
     แต่ความทรงจำเหล่านั้นจะ "ดี" หรือ "ร้าย"
     "เรา"เท่านั้นที่จะได้เป็นผู้กำหนดครับ

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สีเทา

     เมื่อเรายังเล็ก
     เรามักถูกพ่อแม่สอนว่า " อย่าทำอย่างนี้นะ ! " , " ทำอย่างนี้มันไม่ดีรู้มั้ย ? "
     หรือ "ดีมากลูก...ที่ทำได้แบบนี้"
     เราเป็นฝ่ายให้"พ่อ" กับ"แม่"เป็นผู้ตัดสินว่าอะไร"ดี"และอะไร"ไม่ดี"
     แต่เมื่อเราเติบโตขึ้นมา เราจะสามารถ"แยกแยะ"ได้ ผ่าน"ประสบการณ์"ของแต่บุคคล
     แต่ในโลกนี้ มันก็มีบางสิ่งที่เราไม่สามารถแยกแยะได้เลย
     ว่า"ดี"หรือ"ไม่ดี"
     มันเป็นเพียง"สีเทา"

     รู้จัก"จอร์จ โซรอส"มั้ยครับ?
     คนที่รู้จักเขาบอกได้เลยว่า น่าจะ"อาวุโส"  พอสมควร
     ...เขาผู้นี้คือ"นักลงทุน"ที่ร่ำรวยเป็นอันดับที่ 35 ตามการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes
     เป็นคนที่โจมตีค่าเงิน"ปอนด์"ของอังกฤษ รวมทั้งค่าเงิน"บาท"ของไทยด้วย
     ได้รับสมญานามว่า"พ่อมดทางการเงิน" เพราะเป็นคนที่สามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลจากตลาดหุ้นทั่วโลก
     พอจะจำกันได้แล้วนะครับ
     หลายคนบอกว่า เขาผู้นี้แหละที่เป็นคนที่ทำให้ไทยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 หรือที่เราเรียกกันว่า "วิกฤติต้มยำกุ้ง"
      คนไทยทั้งประเทศ(ในตอนนั้น)พร้อมใจกัน"เกลียด"เขา
      บ้างก็บอก"เลว"บ้าง
      บ้างก็บอกว่า"มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น"
      "หน้าเลือด"
      "เลวทราม!!!"
      บ้างคนกล่าวหาไปถึง"ระบบทุนนิยม"ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดคนประเภทนี้อย่างเลยเถิด

      แต่"นักลงทุน"ทั่วโลกกลับยกย่องบุคคลผู้นี้ว่าเป็น"อัจฉริยะ"ทางด้านการลงทุนอย่างแท้จริง
      อีกทั้งยังยกย่องใน"ความดี"ของเขาด้วย เพราะปัจจุบันเขานำเงินที่หามาได้"บริจาค"ให้แก่ประเทศที่ด้อยพัฒนา รวมทั้ง"ฮังการี"บ้านเกิดของเขาด้วย
      ดังนั้น คนในหลายๆประเทศจึง"เทิดทูน"เขา
      สรุปแล้วคุณคิดว่าบุคคลนี้เป็นคน"ดี"หรือ"ไม่ดี"กันแน่ ?

      มาดูประวัติของชายผู้นี้กัน
      จอร์จ โซรอส(George Soros)* ชื่อเดิม จอร์จี้ ชวาซ์ (György Schwartz) เกิดในปีค.ศ. 1930 ที่เมืองปูดาเปสต์ ประเทศฮังการี
      จากนั้น 14 ปีต่อมา พวกนาซีบุกยึดฮังการี และสำหรับพวก"ยิว"ในฮังการีแบบจอร์จ โซรอส หากถูกพวกนาซีหาตัวพบมีโทษสถานเดียว
      คือ "ตาย" !
      โซรอสจึงมีเพียงเป้าหมายเดียวคือการ"เอาชีวิตให้รอด" ซึ่งส่งผลมายังปัจจุบันที่ทำให้โซรอสยังมีอาการหวาดกลัว(Phobia)ฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจอยู่เสมอ
      นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่เป็น"แรงผลักดัน"เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งของโลก
      เพราะในหัวเค้ามีคำพูดหนึ่งที่คอยเตือนใจอยู่เสมอ
      "เอาชีวิตให้รอด"
  
      คนเราจะประสบความสำเร็จได้ เมื่อได้ประสบกับเหตุการณ์"ร้ายๆ"ก่อนเสมอ

      คุณบอกได้หรือยังครับว่าบุคคลผู้นี้
      "ดี" หรือ "ไม่ดี"
     หรือมันมีเพียงแค่...
     "สีเทา"
     



* อ่านชีวประวัติฉบับเต็มของ George Soros และ Warren Buffet ได้ที่ หนังสือ The Winning Investment Habits of Warren Buffet & George Soros


  

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

หมอนข้าง

      "หมอนข้าง"
      อุปกรณ์"คู่นอน"ที่มีกันแทบทุกบ้าน
      เคยสงสัยกันบ้างมั้ยครับว่ามันมีไว้เพื่ออะไร?
      ผมลองเข้าไป Search ถามใน"ลุงกรู"(Google) ได้รับคำตอบมากมาย
      บ้างก็บอกว่ามีไว้เพื่อแก้อาการ"ปวดหลัง"
      บ้างก็บอกว่าสามารถแก้"โรคหวัด"ใน"เด็ก"ให้หายได้!

      ไม่น่าเชื่อ
      บางสิ่งที่ดู"ธรรมดา"ก็อาจมี"ค่า"มากกว่าที่เห็นก็ได้
      แล้วสำหรับคนที่ยังนำมันมา"ซุกไซ้"ทั้งที่ไม่ได้"ปวดหลัง"หรือเป็น"เด็ก"ที่เป็น"หวัด"ล่ะ?

      "หมอนข้าง"ทำให้ผมนึกถึงเพลงๆนึงของหนูนา หนึ่งธิดา
      "อยากมีใครสักคนให้กอด"
      นี่คงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้วล่ะครับ

      เรามี"หมอนข้าง" เพื่ออยากให้ใครสักคนมานอน"ข้างหมอน"
      จริงมั้ยครับ?